วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2564

สรุปข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 12 ม.ค. 2564

 สรุปข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 

เฟทโก้เชื่อหุ้นไทยร้อนแรง
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยว่า ในระยะนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความร้อนแรงและปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากเปิดตลาดปี 64 มาได้ปรับขึ้นไปแล้วกว่า 100 จุด อีกทั้งเฟทโก้ยังไม่กังวลว่าตลาดจะมีการพักฐาน ซึ่งเห็นได้จากช่วงที่ผ่านมาแม้นำหุ้นบางตัวที่มีอิทธิพลต่อดัชนีออกไปแต่ตลาดยังไม่ปรับลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากขณะนี้มีปัจจัยบวกที่รอรับการปรับหุ้นของดัชนีหุ้นไทยอีกเยอะ โดยเฉพาะการเริ่มใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งมองว่ามีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะต้องปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้เกินกว่า 1,600 จุด หากเศรษฐกิจไทยดีขึ้นและนำไปสู่ผลประกอบการบริษัท (บจ.) ที่ดีขึ้นด้วย

ปรับเกณฑ์ดึงอสังหาให้ซื้อ 'อีลิทการ์ด' เพิ่ม
นายสมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้ดำเนินงานโครงการบัตรสมาชิกไทยแลนด์ อีลิท เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการบริษัท ได้พิจารณาการปรับเงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจในโครงการบัตร อีลิท ฟริกซิเบิ้ล วัน โดยอนุญาตให้ผู้สมัครที่มีสิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์แบบสัญญาเช่า สามารถสมัครบัตรสมาชิกในโครงการได้ และอนุญาตให้ผู้สมัครที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 63 สามารถสมัครบัตรสมาชิกในโครงการได้ด้วย รวมทั้งให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกซื้อกิจการ หรือเทคโอเวอร์ทั้งโครงการโดยนักลงทุนหรือบริษัทที่เป็นทั้งของไทยและต่างชาติ ก็เข้าร่วมโครงการได้เช่นกัน

เช็กบิลของปลอมออนไลน์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต กับผู้ประกอบการ 3 แพลตฟอร์มชั้นนำ ได้แก่ ลาซาด้า, ช้อปปี้ และเจดี เซ็นทรัล และเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา 20 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต

กรุงศรีโยก 'สยาม' ดูแลดิจิทัลแบงก์
รายงานข่าวจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า กรุงศรีฯได้ประกาศแต่งตั้งนายสยาม ประสิทธิศิริกุล ดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล โดยเข้ามาทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง หลังจาก นางวรนุช เดชะไกศยะ ครบวาระการเกษียณอายุ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 64 ซึ่งนายสยามมีประสบการณ์การทำงานในธุรกิจการเงินการธนาคารในสถาบันการเงินชั้นแนวหน้าของไทยและต่างประเทศมานานกว่า 25 ปี โดยตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ร่วมงานกับกรุงศรีฯ นายสยามสร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจ

'นายจ้าง-ลูกจ้าง' เฮมีเงินเหลือ เลื่อนส่งเงินสำรองเลี้ยงชีพได้
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้มีมาตรการขยายระยะเวลาการช่วยเหลือนายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ให้สามารถหยุดหรือเลื่อนการนำส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กองทุนฯ) เป็นการชั่วคราว จำนวน 6 เดือน ตั้งแต่งวดนำส่งเงินของเดือน ม.ค. 64 จนถึงงวดนำส่งเงินของเดือน มิ.ย. 64 โดยยังคงสมาชิกภาพไว้เหมือนเดิม เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากเดิมที่ผ่อนผันให้จนถึงงวดนำส่งเงินของเดือน ธ.ค. 63 ที่ผ่านมา

คนไทยสะดุ้งหนี้ครัวเรือนพุ่ง
ทุบสถิติ 5 แสนบ.ต่อครัวเรือน กระทุ้งรัฐเยียวยา 'อาชีพอิสระ'
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงสถานภาพหนี้ครัวเรือนปี 63 ว่า จำนวนหนี้เฉลี่ยของครัวเรือน สูงถึง 483,950.84 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 42.3% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เทียบจากปี 62 มีมูลค่าหนี้ 340,053.65 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นเพียง 7.4% เนื่องจากค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งขาดรายได้จากการถูกออกจากงาน และมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย

เผยคนไทยช้ำทุกเรื่อง คาดกินน้ำตาลแพงอีก
นายบุญถิ่น โคตรศิริ ที่ปรึกษาบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย (อนท.) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นโดยราคาส่งมอบเดือน มี.ค. 64 ราคาน้ำตาลทรายดิบเฉลี่ย 15.60 เซนต์ต่อปอนด์ เนื่องจากผลผลิตอ้อยของบราซิลที่จะเปิดหีบช่วงกลางปีนี้แนวโน้มจะลดต่ำลง จากผลกระทบภัยแล้ง เช่นเดียวกับของไทยที่กำลังเปิดหีบฤดูผลิตปี 63/64 ที่จะลดลงต่อเนื่องส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลทรายลดต่ำจากปีก่อน ขณะที่ความต้องการจากจีน อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น

สั่งยกเลิกโครงการไม่คุ้มค่า
จี้ดูแลกลุ่มเปราะบางให้ชีวิตดี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ให้กับทุกหน่วยงาน โดยขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ต้องบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำอย่างประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะวงเงินงบประมาณมีอยู่อย่างจำกัด หากมีรายจ่ายประจำใดที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนก็ขอให้ชะลอไปก่อน พร้อมประเมินว่าหากโครงการใดไม่ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ก็ควรยกเลิก เพื่อนำงบไปใช้ในแผนงานหรือโครงการอื่นต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น